เมนู

ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา... และฟังแล้วทรงจำไว้ เมื่อนั้น ธรรมเทศนา
ของตถาคตย่อมแจ่มแจ้ง ดูก่อนปุณณิยะ ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา...
และฟังแล้วทรงจำไว้ แต่ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำไว้
เพียงใด ธรรมเทศนาของตถาคตย่อมไม่แจ่มแจ้งเพียงนั้น แต่เมื่อใด
ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา... และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำไว้
เมื่อนั้น ธรรมเทศนาของตถาคตย่อมแจ่มแจ้ง ดูก่อนปุณณิยะ ภิกษุ
เป็นผู้มีศรัทธา... และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำไว้
แต่ไม่รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเพียงใด
ธรรมเทศนาของตถาคตย่อมไม่แจ่มแจ้งเพียงนั้น แต่เมื่อใด ภิกษุ
เป็นผู้มีศรัทธา... และรู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่
ธรรม เมื่อนั้น ธรรมเทศนาของตถาคตย่อมแจ่มแจ้ง ดูก่อนปุณณิยะ
ธรรมเทศนาของตถาคต มีปฏิญาณโดยส่วนเดียว อันประกอบด้วย
ธรรมเหล่านี้แล ย่อมแจ่มแจ้ง.
จบ ปุณณิยสูตรที่ 2

อรรถกถาปุณณิยสูตรที่ 2


ปุณณิยสูตรที่ 2

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า สทฺโธ ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยศรัทธา 2 อย่าง. บทว่า
โน จ ปยิรุปาสิตา แปลว่า ไม่เข้าไปบำรุง. บทว่า โน จ ปริปุจฺฉิตา

แปลว่า ไปสอบถามประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ เหตุและมิใช่เหตุ.
บทว่า สมนฺนาคโต เป็นปฐมาวิภัติลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัติ.
อธิบายว่า สมนฺนาคตสฺส ผู้ประกอบแล้ว. บทว่า เอกนฺตปฏิภาณํ
ตถาคตํ ธมฺมเทสนา โหติ
ความว่า ธรรมเทศนาการแสดงธรรมของ
พระตถาคต แจ่มแจ้งโดยส่วนเดียว อธิบายว่า ย่อมแจ่มแจ้ง ย่อม
ปรากฏโดยส่วนเดียว.
จบ อรรถกถาปุณณิยสูตรที่ 2

3. มูลสูตร


[189] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
พึงถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นมูล
มีอะไรเป็นแดนเกิด มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นที่ประชุมลง
มีอะไรเป็นประมุข มีอะไรเป็นใหญ่ มีอะไรยิ่งกว่า มีอะไรเป็นแก่น
เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์-
ปริพาชกเหล่านั้นว่าอย่างไร.
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมแห่ง
ข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นมูล มีพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้ง
กะพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
จักทรงจำไว้.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจ
ให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า พวกอัญญ-
เดียรถีย์ปริพาชกพึงถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ธรรม
ทั้งปวง มีอะไรเป็นมูล มีอะไรเป็นแดนเกิด มีอะไรเป็นสมุทัย มี
อะไรเป็นที่ประชุมลง มีอะไรเป็นประมุข มีอะไรเป็นใหญ่ มีอะไร
ยิ่งกว่า มีอะไรเป็นแก่น เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์
แก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส